
นายชินโสะ อาเบะ สร้างสถิติดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของญี่ปุ่น โดยได้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น 2 ช่วงช่วงแรกกินระยะเวลาประมาณ 1 ปี (ค.ศ. 2006-2007) และช่วงที่ 2 กินเวลารวม 8 ปี (ค.ศ. 2012-2020)
จนเมื่อเดือนสิงหาคมนี้ นายอาเบะได้ออกมาประกาศลาออก โดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาทางสุขภาพ-โรคลำไส้เรื้อรัง และเมื่อเข้ากลางเดือนกันยายน ญี่ปุ่นก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นามว่า โยชิฮิเดะ ซูงะ ผู้เป็นอดีตมือขวาของนายอาเบะ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งตามระบบการเมืองของญี่ปุ่น ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญที่สุดรองจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และเมื่อญี่ปุ่นมีผู้นำคนใหม่ สังคมโลกจึงมีคำถามว่า แล้วญี่ปุ่นจะก้าวไปในทิศทางใดต่อไป
โดยสามัญสำนึกที่ว่า เมื่อนายซูงะ เป็นคู่หู เป็นมิตรคู่ใจของนายอาเบะมายาวนาน ก็คงไม่พ้นที่จะสานต่อนโยบาย และมาตรการต่างๆ ที่นายอาเบะได้เคยกระทำมา เพื่อที่จะเสริมสร้างความมั่นใจและเสถียรภาพให้แก่ชาวญี่ปุ่น และชาวโลกว่า นโยบายและมาตรการต่างๆ ของญี่ปุ่นนั้นจะมีความต่อเนื่อง และเรื่องใดๆ ที่ค้างคาก็จะมีการดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ก็มีคำถามต่อไปว่า แล้วผลงานของนายอาเบะมีอะไรบ้างที่นายกฯญี่ปุ่นคนใหม่จะมารับช่วงกันต่อไป เพื่อความเจริญก้าวหน้าของญี่ปุ่น และเพื่อสถานะของญี่ปุ่นในเวทีโลก
ก่อนหน้านี้เป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ ที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่น “ย่ำเท้า” อยู่กับที่ และนายอาเบะ ได้สร้างทฤษฎีการฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบอาเบะ (Abenomics) ซึ่งประกอบไปด้วย 3 แนวทาง ที่เรียกกันว่า “ธนูสามดอก” (Three Arrows) อันได้แก่
1) มาตรการการเงิน: เพิ่มการลงทุนจับจ่ายใช้สอย โดยวิธีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากญี่ปุ่นนั้นต่ำกว่าศูนย์ ซึ่งคนที่ฝากเงินกับธนาคารแทนที่จะได้ดอกเบี้ย กลับต้องจ่ายค่าฝากเงินกับธนาคารแทน ทำให้ชาวญี่ปุ่นพยายามนำเอาเงินไปลงทุนและใช้จ่ายต่างๆ เพื่อช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ
2) กระตุ้นการลงทุนในประเทศด้วยการอัดฉีดงบประมาณรัฐลงไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการขยายโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
3) การปรับโครงสร้างการจ้างงาน อันได้แก่ การส่งเสริมแรงงานสตรี การเปิดประเทศให้กับแรงงานต่างชาติ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายแรงงาน ให้การจ้างงานมีความยืดหยุ่นคล่องตัวขึ้น รวมทั้งหันมาพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ส่วนทางด้านความมั่นคงประเทศและการต่างประเทศ นายอาเบะได้พยายามเพิ่มบทบาทของญี่ปุ่นบนเวทีโลก โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยให้กองกำลังป้องกันชาติสามารถไปปฏิบัติการนอกอาณาเขตแบบร่วมมือกับต่างประเทศ (Collective Defense) ได้ เช่น ในกรณีการรักษาสันติภาพ การป้องกันการรุกรานที่กระทบต่อความมั่นคงของโลก นอกจากนั้นก็เป็นการกระชับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกามหามิตรให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยการเสริมแสนยานุภาพ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกองกำลังสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น
นอกจากนั้นก็ดำเนินการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกาตามคำเรียกร้องของฝ่ายสหรัฐฯ ให้มีความสมดุลและต่างปฏิบัติตอบแทนที่ดีต่อกัน ไปจนถึงการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับกลุ่มสหภาพยุโรป อีกทั้งญี่ปุ่นยังคงความเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการขับเคลื่อนการร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศรอบมหาสมุทรแปซิฟิก (ที่เป็นความร่วมมือและผลักดันของอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา) แต่ในที่สุดแล้วสหรัฐอเมริกาก็ถอนตัวไป (โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์)
ส่วนในเรื่องความร่วมมือว่าด้วยความมั่นคงแบบพหุภาคี ญี่ปุ่นก็ได้เข้าร่วมกับสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอินเดีย เป็นกลุ่มร่วมมือ 4 เส้า (Quadruple) ในการเผชิญหน้ากับการขยายแสนยานุภาพและการขยายอิทธิพลของจีนในคาบสมุทรอินเดียและแปซิฟิก และได้มีส่วนสำคัญในการผลักดันแนวคิดว่าด้วย การร่วมมือคาบสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก ในการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงปลอดภัยทางการเดินเรือและเดินอากาศ โดยให้มหาสมุทรทั้ง 2 เป็นช่องทางติดต่อที่เสรี ไม่ตกอยู่ในอาณัติของประเทศหนึ่งใด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศจีน)
ถือได้ว่า นายกรัฐมนตรีอาเบะ มีผลงานที่จับต้องได้ทั้งเรื่องภายในและเรื่องการต่างประเทศ และเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์
แต่การใดก็จะต้องมีอุปสรรค หรือความล้มเหลวเป็นธรรมดา นายกรัฐมนตรีอาเบะนั้นกระทำการไม่สำเร็จในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการเปลี่ยนสถานะประเทศให้เป็นประเทศธรรมดาๆ ที่จะมีกองทัพอย่างสมบูรณ์สมน้ำสมเนื้อ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถทำให้เกิดการเป็นรัฐเอกราชและกองทัพที่สามารถปฏิบัติการเยี่ยงกองทัพอื่นๆ ทั่วโลก
ในเรื่องการบริหารราชการ นายกรัฐมนตรีอาเบะ แม้จะมีข่าวอื้อฉาว (Scandals) ว่าด้วยการช่วยเหลือเพื่อนฝูงแบบลับ ในการตั้งโรงเรียนอาชีวะแพทย์สตรี ทั้งที่มีการปิดโควตาไปก่อนหน้า แต่โดยภาพรวมแล้ว นายกรัฐมนตรีอาเบะก็ยังถูกจัดได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดูแลสังคม และเสริมสร้างสถานะของประเทศ
จวบจนยุคหลังๆ คะแนนนิยมของนายอาเบะได้ตกลงมาพอสมควร จากกรณีไม่สามารถจัดการกับวิกฤติโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็วทันใจ สังคมมองว่าไม่ได้ตอบสนองปัญหาแบบถึงลูกถึงคน ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่า ทางผู้นำญี่ปุ่นไม่ได้คาดการณ์ถึงความรุนแรงของโรคระบาดนี้มาตั้งแต่ต้น และการวางมาตรการต่อมาไม่ครอบคลุมชัดเจนให้เป็นที่ประจักษ์และสบายใจต่อชาวญี่ปุ่น
นายอาเบะจัดได้ว่าเป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ชาตินิยม แต่มีความช่ำชองในการบริหารราชการและตัดสินใจที่เรียกว่า “ใช้การได้” (Pragmatic) และมีความชาญฉลาดในการอ่านกระแสการเมืองและการตัดสินใจ จนทำให้สามารถกุมชัยชนะการเลือกตั้งถึง 6 ครั้ง ทั้งในระดับวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร
นายอาเบะ มาจากตระกูลสูงส่งทางการเมืองของญี่ปุ่น ปู่เป็นนายกฯ บิดาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ทางครอบครัวภรรยามีความร่ำรวยเป็นอย่างมากจากอุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยว และมาบัดนี้นายอาเบะ ก็ได้ส่งต่ออำนาจให้กับนายซูงะ ซึ่งมาจากครอบครัวเกษตรกรปลูกผลสตรอว์เบอร์รี่ ทั้ง 2 คน จึงมีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องที่ไปที่มา แต่ต่างก็ได้มีโอกาสในการที่จะนำพาประเทศญี่ปุ่นไปสู่ความยิ่งใหญ่
สรุปแล้ว ทิศทางญี่ปุ่นภายใต้การนำของ นายซูงะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็คงจะสืบทอดเจตนารมณ์นายอาเบะอย่างแข็งขัน เพราะได้ร่วมแรงร่วมใจกันมาร่วม 8 ปี และแกนนำพรรคต่างๆ ก็คงอยากให้นโยบายมีความต่อเนื่องเพื่อคงเสถียรภาพของทิศทาง โดยนายซูงะ น่าจะดำเนินงานต่อในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และขยายบทบาทของญี่ปุ่นในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งเพื่อแข่งขันและตีกรอบอิทธิพลจีน
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
September 24, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/3kFVHrq
คอลัมน์การเมือง - อาเบะไป ซูงะมา : ญี่ปุ่นจะก้าวไปทางไหน? - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://ift.tt/3dNi0Z3
Bagikan Berita Ini
0 Response to "คอลัมน์การเมือง - อาเบะไป ซูงะมา : ญี่ปุ่นจะก้าวไปทางไหน? - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"
Post a Comment